วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การทำงานของNetwork และ Internet


การทำงานของNetwork และ Internet

การทำงานของNetwork และ  Internet

รูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย (Network Topology)
 การจัดระบบการทำงานของเครือข่าย มีรูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย อันเป็นการจัดวางคอมพิวเตอร์
และการเดินสายสัญญาณคอมพิวเตอรืในเครือข่ายรวมถึงหลักการไหลเวียนข้อมูลในเครือข่ายรวมถึงหลักการไหลเวียนข้อมูลในเครือข่ายด้วย โดยแบ่งโครงสร้างเครือข่ายหลักได้ 4 แบบ คือ

เครือข่ายแบบดาว
เครือข่ายแบบวงแหวน
เครือข่ายแบบบัส
เครือข่ายแบบต้นไม้หรือทรี

1.แบบดาว เป็นการต่อสายเชื่อมโยงโดยการนำสถารนีต่างๆมาต่อรวมกันกับหน่วยสลับสายกลาง
การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีที่จะกระทำได้ด้วยการติดต่อผ่านทางวงจรของหน่วยสลับสายกลาง
การทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงคล้ายกับศุนย์กลางของการติดต่อวงจรเชื่อมโยงของสถานีต่างๆ

ลักษณะการทำงานของเครือข่ายแบบดาว
เป็นการเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารที่มีลักษณะคล้ายรูปดาวหลายแฉก โดยมีสถานีกลาง หรือฮับเป็นจุดผ่านการติดต่อระหว่างทุกโหนดในเครือข่าย สถานีกลางจึงมีหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมเส้นทางการสื่อสารทั้งหมด นอกจากนี้สถานีกลางยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางคอยจัดส่งข้อมูลให้กับโหนดปลายทางอีกด้วย
การสื่อสารภายในเครือข่ายแบบดาว จะเป็น 2แบบ ทิศทางสามารถอนุญาตให้มีเพียงโหนดเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกัน

2.แบบวงแหวน เป็นแบบที่สถานที่ของเครือข่ายทุกสถานีจะเชื่อมต่อกับเครื่องขยายสัญญาณของตัวเอง
โดยการจะมีการเชื่อมโยงของสัญญาณของทุกสถานีเข้าด้วยกันเป็นวงแหวน เครื่องขยายสัญญาณเหล่านีเมีหน้าที่ในการรับข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเองจากเครื่องตัวก่อนหน้าและส่งข้อมูลต่อไปยังตัวถัดไปเรื่อยๆ เป็นวงหากข้อมูลที่ส่งเป็นของสถานที่ใด เครื่องขยายสัญญาณของสถานีนั้นก็รับและส่งของข้อมูล

3.เครือข่ายแบบแบบบัส (Bus Network)
เป็นเครือข่ายที่เชื่อต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆด้วยสายเคเบิ้ลยาวต่อไปเรื่อยๆ โดยมีอุปกรณ์เป็นตัวเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เพียวตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆการจัดส่งข้อมูล
วิธีนี้จะต้องกำหนดวิธีการ ที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกันเพราะจำทหให้ข้อมูลชนกัรน อุปกรณต่างๆจะถูกเชื่อมด้วยเคเบิลเพียวเส้นเดียว ซึ่งเครือข่ายมีขนาดเล็ก ในองค์กรมีคอมพิวเตอร์ใช้ๆไม่มากนัก

ข้อดีข้อเสียของเครือข่ายแบบบัส

อุปกรณ์ทุกชิ้นหรือโหนดทุกโหนด ในเครือข่ายจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลักที่เรียกว่าบัส เมือ่โหนดหนึ่งต้อการส่งข้อมูลไปยังอีกโหนดหนึ่งภายในเครือข่ายจะต้องไปตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าบัสว่างหรือไม่ถ้าหากไม่ว่างก็ไม่สามารถจะส่งข้อมุลออกไปได้ทั้งนี้เพราะสายสื่อสารหลักมีเพียงสายเดียว ในกรณีที่มีข้อมูลวื่งไปมาในบัส ข้อมูลจะวิ่งผ่านโหนดต่างๆไปเรื่อยๆในขณะที่แต่ละโหนดคอยตรวจสอบข้อมูล

4.แบบต้นไม้ (Tree  Network) เป็นเครือข่ายที่มีการผสมผสานโครงสร้างเครือข่ายแบบ
ผสมผสานโครงสร้างเครือข่ายแบบต่างๆเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่  การจัดส่งข้อมูลสามารุ
ส่งไปถึงได้ทุกสถานี การสื่อสารข้อมูลจะผ่านตัวกลางไปยังสถานอื่นๆได้ทั้งหมด เพราะทุกสถานีจะอยู่บนทางเชือม

การประยุกต์ใช้งานระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

ระบบเครือข่ายทำให้เกิดการสื่อสาร และการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรระหว่างเครื่อง


รูปแบบการใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

ระบบเครือข่ายแบ่งตามลักษณะการทำงานได้ 3 ประเภท

1.ระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง (Centralized Network)
2.ระบบเครือข่ายแบบ Peer - to Peer
3.ระบบเครือข่ายแบบ Client/Server

1.ระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง
เป็นระบบที่เครื่องหลักเพียงเครือ่งหลักเพียงเครื่องเดียวที่ใช้ในการประมวลผล  ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางและมีการเชื่อมต่อไปยังเครื่องเทอมินอลที่อยู่รอบๆ ใช้ในการเดินสายเคเบิลเชื่อมต่อกันโดยตรง  เพื่อให้เครื่องเทอร์มินอลสามารถเข้าใช้งาน โดยส่งคำสั่งต่างๆ มาประมลผลที่เครื่องกลางซึ่งเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมประสิทธิภาพสูง

2.ระบบเครือข่าย  Peer-to-peer
แต่ละสถานีงานระบบเครือข่ายPeer-to-peer จะมีความเท่าเทียมกันสามารถที่จะแบ่งปันทรัพยากรให้แก่กันและกันได้   เช่นการใช้เครื่องพิมพ์หรือแฟ้มข้อมูลร่วมกันในเครือข่าย เครื่องแต่ละเครื่องแต่ละสถานีงานมีขีดความสามารถในการทำงานได้ด้วยตัวเอง  (Stand

3.ระบบเครือข่ายแบบ client/Server

สามารถสนับสนุนให้มีเครื่องลูกข่ายไดเเป็นจำนวนมาก  และสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์
ได้หล่ายสถานี  ทำงานโดยมี  sever ที่ให้มีบริการเป็นศูนย์กลางน้อย 1 เครื่อง แบะมีบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆจากส่วนกลาง  แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ เครื่องที่ทำหน้าที่ให้บริการในระบบclient/Server
ราคาไม่แพงมาก ซึ่งอาจใช้เพียงเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์สมภภถนะสูงในการควบคุมหารให้บริการ
ทรัพยากรต่างๆ

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องมือหรืออุปกรณ์ประเภทอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานด้วยคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือโปรแกรมต่างๆสามารถเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายได้หลายแบบ ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์ คือมีศักยภาพสูงในการคำนวรประมวลผลข้อมูล ทั้งที่เป็นตัวเลข รูปภาพ และเสียง
ส่วนประกอบสำคัญของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ฮาร์แวร์
หมายถึง ส่วนที่ประกอบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็น5ส่วน คือ
ส่วนที่1หน่วยรับข้อมูลเข้า (input unit)
  เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาเชื่อมต่อ ทำหน้าที่เป็นสัญญาณเข้าสู่ระบบ เพื่อกำหนดให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามความต้องการ ได้แก่
-เป็นอักขระ(keyboard)
-แผ่นซีดี(CD-Rom)
-ไมโครโฟน(Microphone)เป็นต้น
ส่วนที่ 2 หน่วยประมวลผลกลาง(Central Processing Unit) – CPU
          ทำหน้าที่เกี่ยวกับการคำนวณทั้งทางดารรกและคณิตศาสตร์ รวมถึงการประมวลข้อมูลตามคำสั่งได้รับ
ส่วนที่ 3 หน่วยความจำ  (Memory Unit)
          ทำหน้าที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่งที่มาจากหน่วยรับข้อมูล เพื่อเตรียมส่งไปประมวลผลยังหน่วยประมวลกลาง และเก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลแล้วเตรียมส่งไปยังหน่วยแสดง
 ส่วนที่ 4 หน่วยแสดงผล (Output Unit)
           ทำหน้าที่แสดงข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผล หรือผ่านการคำนวณแล้ว
ส่วนที่5 อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ (Peripphral Equipment) 
          เป็นอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยประสิทธิในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น เช่น   โม (moclem) แผงวงจรเชื่อมต่อเครือข่าย เป็นต้น
ประโยชน์คอมพิวเตอร์
1.มีความเร็วในการทำงานสูง สามารถประมวลผลคำสั่งได้รวดเร็วชั่ววินาที จึงใช้งานคำนวณต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
2.มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ใช้แทนกำลังคนได้มาก
3.มีความถูกต้องแม่นยำ ตามโปรแกรมสั่งงานและข้อมูลที่ใช้
4.เก็บข้อมูลได้มาก ไม่เปลืองเนื้อที่เก็บเอกสาร
5.สามารถโอนย้ายมูลจากเครื่องหนึ่งไปยังอักเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งผ่านระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน
              ระบบคอมพิวเตอร์
หมายถึง กรรมวิธีที่คอมพิวเตอร์ทำการใดๆกับข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ ตามความประสงค์ของผู้ใช้งานให้มากที่สุด เช่น ระบบเสียภาษี ระบบทะเบียนราษฎร์  ระบบทะเบียนการค้า ระบบเวช ระบบของโรงพยาบาล  เป็นต้น
       การเข้าถึงขอมูลเหล่านี้ สามารถเข้าถึงได้โดยการตรวจสอบจากการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
        องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
ระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน ดังนี้
1.     ฮาร์แวร์  (Hardware) หรือส่วนเครื่อง
2.     ซอฟต์แวร์ (Software) หรือส่วนเครื่อง
3.     ข้อมูล Data
4.     บุคลากร People
ฮาร์แวร์ (Hardware) = ตัวเครื่องและอุปกณ์ส่วนต่างๆที่เราสามารถสัมผัสและจับต้องได้ ฮาร์ดแวร์ประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 4 ส่วน ดังนี้ คือ
1.       ส่วนประมวลผล (Processor)
2.       ส่วนความจำ (Memory)
3.       อุปกรณ์รับเข้าและส่งออก (lnput Outpot Devices)
4.       อุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูล (s.to

ส่วนที่ 1
         CPU  อุปกรณ์ฮาร์แวร์ที่เปรียบเสมือนสมอง มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ ประมวลผลและเปรียบเทียบข้อมูลโดยการเปลี่ยนแปลงข้อมูลดิบและให้เป็นสารสนเทศที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ความสามารถของ CPU นั้นพิจารณาจากความเร็วของการทำงาน การรับส่งข้อมูล อ่านเขียนข้อมูลในหน่วยความจำ ความเร็วของซีพียู ขึ้นอยู่กับตัวให้จังหวะที่เรียกว่า สัญญาณนาฬิกา เป็นความเร็วจำนวนรอบสัญญาณใน 1 วินาที เทียบกว่าความเร็วสัญญาณนาฬิกา 1 ลิกะเฮิร์ตซ์
ส่วนที่ 2 หน่วยความจำ (Memory)
1.       หน่วยความจำหลัก (Main Memory)
2.       หน่วยความจำสำรอง (Seconday Storage)
3.       หน่วยเก็บข้อมูล

1.       หน่วยความจำหลัก]
แบ่งได้ 2 ประเภท คือ หน่วยความจำแบบ แรม(Ram) และหน่วยความจำ แบบรอม(Rom)
1.1            หน่วยความจำแบบ แรม
(RAM = Random Access Memory) เป็นหน่วยความจำที่ต้องอาศักระแสความจำที่ใช้เก็บโปรแกรมหรือข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่ถาวรไม่ขึ้นกับไฟฟ้าที่ป้อนให้วงจร ยอมให้ใช้ชีพียูอ่านข้อมูลหรือโปรแกรมใช้งานอย่างเดียวไม่สามารถเขียนข้อมูลลงไปเก็บไว้ได้ง่าย ส่วนใหญ่ใช้เก็บโปรแกรมควบคุม เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า หน่วยความจำแบบไม่ลบเลือน
(Nonvolatile Memory)

2.       หน่วยความจำสำรอง
หน่วยความจำชนิดนี้มีไว้สำรองหรือทำงานข้อมูลและโปรแกรมขนาดใหญ่ เนื่องจากขนาดของหน่วยความจำหลักมี จำกัด หน่วยความจำสำรองสามารถเก็บไว้  ได้หลายแบบ เช่น แผ่นทึก (Floppy Disk)
จานบันทึกแบบแข็ง (Hard Didk) แผ่นซีดีรอม (CD-ROM)จานแสงแม่เหล็ก